ท้องผูกเรื้อรัง เป็นมานานจะหายไหม ทำอย่างไรให้หายเร็วที่สุด

ท้องผูกเรื้อรัง เป็นมานานจะหายไหม ทำอย่างไรให้หายเร็วที่สุด

ท้องผูกเรื้อรัง คือ อาการที่เกิดจากการติดต่อกันของเส้นลำไส้ที่อยู่ระหว่างหลอดอาหารและท่ออวัยวะ อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การบริโภคอาหารที่มีเส้นใยน้อยหรือการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานๆ เนื่องจากการนั่งชิดโต๊ะอาจทำให้การไหลเวียนของโลหิตลดลง ควรดูแลรักษาระบบทางเดินอาหารเพื่อป้องกันการเกิดท้องผูกเรื้อรัง นอกจากนี้ สามารถรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของผัก ผลไม้ และเมล็ดพืชที่มีใยอาหารสูง เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ขนมปังโฮลวีต ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ที่มีเนื้อใยสูง เพื่อช่วยเร่งการขับถ่าย


ท้องผูกเกิดจาก

อาการ ท้องผูกเป็นผลมาจากการที่ลำไส้ใหญ่บีบตัวหรือเคลื่อนตัวช้าระหว่างย่อยอาหาร จึงทำให้ไม่สามารถกำจัดอุจจาระออกจากระบบทางเดินอาหารได้ปกติ ทีนี้ปัญหาที่จะตามมาคือการตกค้างของของเสียในลำไส้ใหญ่ เมื่อมีการตกค้างนาน ๆ จะมีการดูดน้ำในอุจจาระกลับ อุจจาระจึงมีลักษณะแห้ง แข็ง และมีขนาดใหญ่ขึ้น ยิ่งอุจจาระอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากต่อการขับถ่ายออกมา ท้องผูกมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกคน และมักเป็นปัญหาชั่วคราว หายได้หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน แต่สำหรับบางคนอาการท้องผูกอาจเป็นปัญหาต่อเนื่อง น่ารำคาญใจ จนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ในอนาคตได้ สาเหตุทั่วไปของอาการท้องผูก มีดังนี้

 

  • การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำ เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ นม หรือชีส
  • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ (ขาดน้ำ)
  • ออกกำลังกายไม่เพียงพอ
  • การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน เช่น การเดินทาง การกินอาหาร หรือ การทำงาน
  • ปัญหาทางด้านจิตใจ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวลต่าง ๆ
  • ยาบางชนิด เช่น ยาลดกรด อาหารเสริมแคลเซียม ธาตุเหล็ก ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคซึมเศร้า ยาระงับอาการทางจิต หรือยาแก้อาการชัก
  • การตั้งครรภ์
  • ความผิดปกติจากกล้ามเนื้อ เช่น โรคพาร์กินสัน เส้นประสาทไขสันหลังบาดเจ็บ หรือโรคหลอดเลือดในสมอง
  • ผู้ป่วยที่นอนติดเตียงมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย

อาการแบบไหนที่เรียกว่าท้องผูก

อาการแบบไหนที่เรียกว่าท้องผูก

  • อุจจาระเป็นก้อนแข็ง แห้ง หรือเป็นเม็ดเล็ก ๆ
  • ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ถ่ายอุจจาระดำหรือเป็นเลือดอาเจียนดำหรือเป็นเลือด
  • ถ่ายอุจจาระไม่สุด ถ่ายไม่ออก ถ่ายออกได้ยาก ต้องใช้แรงเบ่งหรือใช้มือช่วยล้วง
  • ท้องเสียเรื้อรัง การอุจจาระบ่อย ๆ จะเพิ่มความดัน และ/หรือการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
  • น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • รู้สึกท้องอืดหรืออึดอัด

ระวังการนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

อาการท้องผูกอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคริดสีดวงทวาร เกิดจากการโป่งพองออกของเส้นเลือดดำที่ทวารหนัก ที่มีเนื้อเยื่อบริเวณขอบทวารยื่นออกมา เพราะอุจจาระที่ครูดกับผิวหรือเยื่อเมือกของทวารหนัก จนเกิดเป็นแผลอาจส่งผลให้มีเลือดออกทางทวารหนักได้ โดยริดสีดวงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ “ริดสีดวงภายนอก”และ “ริดสีดวงภายใน” ตลอดจนการเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ การสังเกตร่างกายของตัวเองสำคัญมาก เมื่อพฤติกรรมของร่างกายต่างไปจากเดิม ให้รีบปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด แนะนำ 5 วิธีป้องกันโรคริดสีดวง 


วิธีการรักษาและป้องกันอาการท้องผูก

วิธีการรักษาและป้องกันอาการท้องผูก

เราสามารถจัดการกับอาการท้องผูกที่รู้สึกว่าเป็นเล็กน้อยถึงปานกลางได้ที่บ้าน การดูแลตนเองเริ่มต้นด้วยการเก็บข้อมูลจากสิ่งที่กิน การดื่มน้ำ และทำการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้

 

  1.  ดื่มน้ำ 1-2 ลิตร เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ
  2.  ตรวจสอบการนั่งบนชักโครก การวางเท้าบนเก้าอี้และโน้มตัวมาข้างหน้า (ประมาณ 35 องศา) ทำให้มีการเคลื่อนไหวของลำไส้ที่ดีขึ้น
  3.  ปรับเปลี่ยนอาหาร เพิ่มผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว ลูกพรุน และอาหารที่มีกากใยสูงอื่นๆ ในมื้ออาหาร กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ และชีส ให้น้อยลง
  4.  สร้างกิจวัตรในการถ่ายอุจจาระให้สม่ำเสมอและให้เป็นเวลา และหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ขณะขับถ่าย
  5.  หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาระบายที่จำหน่ายโดย ควรสอบถามเภสัชกรหรือแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือในการเลือก และอย่าใช้ยาระบายนานเกินสองสัปดาห์ การใช้ยาระบายมากเกินไป อาจทำให้อาการแย่ลงได้
  6.  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  7.  ไม่กลั้นอุจจาระโดยไม่จำเป็น ปวดเมื่อไหร่ควรรีบไปเข้าห้องน้ำ เพราะการกลั้นอุจจาระเป็นประจำ ทำให้เกิดการตกค้างของอุจจาระ จนเกิดปัญหาท้องผูกตามมาได้

เรื่องน่ารู้ ทำไมไฟเบอร์จึงดีต่อสุขภาพ ?


ท้องผูก กินอะไรดี แหล่งไฟเบอร์ที่ดีมีอะไรบ้าง?

อาหาร

ไฟเบอร์ปานกลาง

ไฟเบอร์สูง

ผัก

หัวผักกาด, มันฝรั่งพร้อมเปลือก, อะโวคาโด, บรอกโคลี, กะหล่ำปลี, แครอท, ข้าวโพด, ถั่วเขียว, ถั่วลันเตา, ผักโขม  

ผลไม้

แอปเปิลที่มีเปลือก, อินทผาลัม, มะละกอ, มะม่วง, ส้ม, ลูกแพร์, กีวี, สตรอเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, แบล็กเบอร์รี่, ลูกเกด

ลูกพรุนสุก, ลูกมะเดื่อแห้ง

ธัญพืช

รำลูกเกด, รำข้าวโอ๊ต, ข้าวสาลีหั่นฝอย, ข้าวสาลี, ข้าวโอ๊ต, กราโนล่า, มูสลี่

รำข้าวโพด, รำข้าวสาลี

ขนมปัง

ขนมปังโฮลวีต, ขนมปังกราโนล่า, มัฟฟินรำข้าวสาลี

 

หากคุณกำลังประสบปัญหานี้ นี่คือ 8 ธัญพืชช่วยแก้ท้องผูก


เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์

  • เมื่อเห็นเลือดในอุจจาระ
  • น้ำหนักลดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
  • มีอาการปวดอย่างรุนแรงจากการเคลื่อนไหวของลำไส้
  • ปวดท้องมากอึดอัดแน่นท้องคลื่นไส้อาเจียน
  • อาการท้องผูกกินเวลานานกว่า 3 สัปดาห์
  • ถ่ายเหลวและถ่ายเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ หรือปวดถ่ายอุจจาระในแบบที่ต้องถ่ายทันทีอย่างหาสาเหตุไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หากอาการท้องผูกเรื้อรังยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม


อ้างอิง