โรคขี้เต็มท้องอาการ เป็นอย่างไร ? เผยสาเหตุ และ วิธีแก้ไขที่ได้ผล

โรคขี้เต็มท้องอาการ เป็นอย่างไร ? เผยสาเหตุ และ วิธีแก้ไขที่ได้ผล

โรคขี้เต็มท้องอาการ เป็นอย่างไร ? เผยสาเหตุ และ วิธีแก้ไขที่ได้ผล

ถึงแม้ว่าชื่อโรคนี้จะดูอ่านแล้วไม่น่าฟังสักเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะมันคือเรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน  ทุกเพศ ทุกวัย คำว่าขี้เต็มท้อง หรือ เรียกอีกอย่างได้ว่า ภาวะอุจจาระอัดแน่น เมื่อเป็นโรคนี้มักจะมีผลเสียที่ตามมาถึงขั้นเดินไม่ได้เลยทีเดียว นี่แหละคือผลกระทบจากการเป็นโรคนี้ ซึ่งวันนี้พวกเราจะมาเจาะลึก พร้อมกับพูดคุยถึงโอกาสที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ รวมทั้ง วิธีแก้ไขโรคนี้อย่างได้ผลจริง แต่สำหรับใครที่อ่านดูแล้วฟังดูน่ากลัว แต่ก็อย่ากังวลไปเพราะโรคนี้เกิดจากพฤติกรรม และ วินัยในการใช้ชีวิต ถ้าหากว่าคุณเองเป็นคนที่ไม่ละเลย พร้อมทั้งใส่ใจในสุขภาพอยู่เสมอก็ไม่น่ากังวลอะไร แต่ในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่า โรคขี้เต็มท้องอาการ เป็นอย่างไร มีสาเหตุ และ วิธีแก้อย่างไรให้ได้ผล 


สาเหตุของโรคขี้เต็มท้อง 

โรคขี้เต็มท้องอาการ

ก่อนอื่นเลยต้องทำความรู้จักกับ “ภาวะอุจจาระอัดแน่น” หรืออย่างที่เรียกกันก็คือ “โรคขี้เต็มท้อง” อาจจะอ่านดูแล้วไม่สุภาพสักเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่าผลร้ายของโรคนี้ถ้าปล่อยเอาไว้นานจะถึงขั้นเดินไม่ได้เลยทีเดียว แน่นอนว่าสาเหตุใหญ่ ๆ ของโรคนี้เลยก็คือ “ชอบอั้นอุจจาระ” ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเกิดขึ้นกับคนที่ทำงานจนไม่มีเวลา หรือ ต้องเดินทางตลอดเวลา นี่แหละคือสาเหตุหลักเลยที่ทำให้เกิดโรคนี้ เพราะของเสียไม่ถูกขับถ่ายออก แต่กลับได้รับสิ่งใหม่เข้าไปแทน จึงทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานไม่ปกติ 


เกิดขึ้นจริงกับ “ตุ๊กตา The Voice” 

โรคขี้เต็มท้องอาการ

ใครหลายคนอาจจะลืมกันไปบ้างแล้ว หรือ คนรุ่นใหม่ที่ไม่ทันข่าว นักร้องดังอย่าง “ตุ๊กตา The Voice” ที่ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องอาการป่วยโรค “ขี้เต็มท้อง” หรือ “ภาวะอุจจาระอัดแน่น”  เนื่องจากตัวเธอชอบอั้นอุจจาระบ่อย เพราะวิธีการใช้ชีวิตที่ต้องเดินทางไปทำงานอยู่ทุกที่ อีกทั้งติดประชุม หรือ เรื่องอื่นมาเสมอจนทำให้ละเลยเรื่องการขับถ่ายจนทำให้ระบบขับถ่ายมีปัญหา ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่ท้องผูกทั่วไป แต่จะหนักกว่านั้น โดยตัวเธอได้ออกมาเล่าถึง 6 อาการคร่าว ๆ ที่เธอประสบพบเจอ จะมีดังต่อไปนี้ 

 

  1. มีอาการหายใจติดขัด แน่นท้อง หายใจได้ไม่เต็มที่ ต้องหายใจลึก ๆ อยู่ตลอดเวลา
  2. มีอาการเวียนหัวคลื่นไส้ ปั่นป่วนท้อง อยู่ตลอดเวลา
  3. รับประทานอาหารได้น้อย ไม่รู้สึกอย่างจะกินอะไร เมื่อกินเข้าไปได้เพียงนิดเดียว ก็แน่นท้องอึดอัด
  4. มีอาการเรอเปรี้ยว ตดเปรี้ยว ตลอดทั้งวัน ส่งกลิ่นเหม็นตลอดเวลา
  5. มีความรู้สึกว่าลมในท้องเยอะ มีอาการแน่นท้อง พร้อมทั้งแสบท้องคล้ายกับโรคกระเพาะ
  6. มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวตลอดเวลา สุดท้ายก็ส่งผลให้เครียดจนนอนไม่หลับ

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ตัวเธอจึงได้ไปพบแพทย์ ให้เอกซเรย์ท้อง จึงพบว่ามีอุจจาระอัดแน่นเต็มท้อง โดยวิธีแก้เบื้องต้น แพทย์ได้ให้ยาระบายแก่เธอ พร้อมทั้งแนะนำว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ขั้นนี้ไม่ควรไปหาซื้อยาระบายมากินเอง นี่คืออาการของโรคนี้ที่ได้ถูกเล่าผ่าน ตุ๊กตา The Voice

 

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับชายออสเตรเลียวัย 57 ปี ที่มีภาวะนี้เช่นเดียวกัน โดยพบว่าเจ้าตัวมีอุจจาระอุดตันอยู่ถึง 2 ลิตร จนเจ้าตัวไม่สามารถเดินได้ ด้วยสาเหตุที่เจ้าตัวมีอาการท้องผูกมานานจนทำให้อุจจาระอัดแน่น ไปกดทับเส้นเลือดบริเวณใกล้เคียง จนไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะอย่างขา ส่งผลให้เดินไม่ได้ นี่แหละคือสาเหตุที่เกิดจากโรคท้องผูกที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ 


โรคท้องผูก สาเหตุหลักของ “โรคขี้เต็มท้อง”

โรคท้องผูก สาเหตุหลักของ “โรคขี้เต็มท้อง”

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาวะอุจจาระอัดแน่น หรือ โรคขี้เต็มท้องอาการ นั้นเริ่มมาจากท้องผูก เพราะคนเราถ้าพูดกันตรง ๆ ถ้าระบบขับถ่ายเริ่มแย่สัก 2-3 วัน ก็ต้องมองหาวิธีที่ระบายออกให้เร็วที่สุด เพราะรู้สึกไม่สบายตัว เกิดอาการอื่น ๆ ตามมา เช่น ปวดท้อง มีอาการทางอื่น ๆ อีกมากมาย 

 

โดยเรื่องนี้ ผศ.นพ.ชัยเลิศ พงษ์นริศร หัวหน้าหน่วยนรีเวชทางเดินปัสสาวะและอุ้งเชิงกราน ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวเอาไว้ในเอกสารการแพทย์เรื่อง “ภาวะท้องผูก ใครว่าแก้ไม่ได้ ?” โดยกล่าวว่า 

 

ภาวะท้องผูกเกิดขึ้นเมื่อลำไส้ใหญ่ดูดซึมน้ำออกมามากเกินไป หรือ กล้ามเนื้อของลำไส้ใหญ่บีบตัวเชื่องช้า ทำให้ก้อนอุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่อย่างช้าลงไปอีก นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ก้อนอุจจาระแข็ง แห้ง สะสม โดยภาวะท้องผูกจะทำให้อุจจาระอัดกันเป็นก้อนแข็งอยู่ในลำไส้ กับ ไส้ตรงแน่นมาก จนทำให้แรงบีบของลำไส้ใหญ่ไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้อุจจาระเคลื่อนลงมา ภาวะนี้จึงเรียกว่า “อุจจาระอัดแน่น หรือ Fecal impaction” จะเกิดขึ้นบ่อยในเด็ก และ ผู้สูงวัย 


รู้ได้อย่างไรว่าตนเองท้องผูก ?

รู้ได้อย่างไรว่าตนเองท้องผูก ?

ก่อนจะเข้าไปสู่วิธีแก้ไขของภาวะนี้ ขอฝากเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สำรวจตัวเองดูว่า เป็นภาวะท้องผูก หรือ มีอาการที่ค่อนข้างเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้หรือไม่ จากพฤติกรรมที่ใช้ชีวิตในทุกวัน 

 

  • เริ่มต้นจาก การขับถ่ายอุจจาระถี่น้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 สัปดาห์  
  • เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนเองจะต้องออกแรงเบ่งเป็นอย่างมาก ขณะถ่ายอุจจาระ
  • ตรวจพบว่าอุจจาระของตนเอง มีลักษณะแข็ง
  • มีความรู้สึกว่าถ่ายอุจจาระไม่หมด 
  • รู้สึกได้ว่ามีอะไรมาขวาง หรือ อุดกั้นบริเวณไส้ตรง ต่อกับรูทวาร 

 

ทั้งหมดนี้คือสาเหตุเบื้องต้นที่คุณเองสามารถสำรวจ ประเมินตัวเองได้ ก่อนไปพบแพทย์ ซึ่งถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาที่ถูกต้อง ก่อนที่จะเลือกยาระบายทานเอง เพราะต้องหาสาเหตุที่แท้จริงว่า ไม่มีโรคอื่นที่แทรกซ้อน หรือ มีการกินยาเฉพาะตัวที่จะทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ไม่ดูแลตัวเอง ก็อาจจะเกิดแผลในลำไส้ ส่งผลให้เป็นมะเร็งลำไส้ได้ในอนาคตนั่นเอง บทความแนะนำ อาการแบบไหนที่เรียกว่าท้องผูกเรื้อรัง


วิธีแก้ไขโรคขี้เต็มท้อง

หลังจากที่ได้อ่านไปแล้วข้างต้นว่า สาเหตุของโรคนี้ก็คือ พฤติกรรมในการขับถ่ายของบุคคลนั้น ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีหลายท่านที่มีพฤติกรรมคล้ายกัน ถึงแม้ว่าจะมีท้องผูกบ้าง หรือ อั้นอุจจาระบ้างอาจจะยังไม่มากเกินไป แต่บอกเลยว่าทุกข้อที่กล่าวมาข้างต้น สามารถเกิดเหตุการณ์นี้ได้อีกครั้งแน่นอน โดยต้องเริ่มจากการสำรวจตัวเอง พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย และ ให้ความสำคัญอยู่เสมอ นี่แหละคือวิธีแก้ไข “ภาวะอุจจาระอัดแน่น” หรือ “โรคขี้เต็มท้อง” ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจะขอแนะนำสิ่งที่คุณต้องปรับทันทีในตอนนี้ เพื่อห่างไกลโรคที่อ่านชื่อแล้วไม่ค่อยพึงประสงค์สักเท่าไหร่นี้ รู้จักกับ โพรไบโอติก ตัวช่วยปรับสมดุลลำไส้


5 พฤติกรรม ที่ต้องเปลี่ยน ห่างไกล “โรคขี้เต็มท้อง”

5 พฤติกรรม ที่ต้องเปลี่ยน ห่างไกล “โรคขี้เต็มท้อง”

1. ฝึกถ่ายอุจจาระเป็นเวลา สม่ำเสมอ 

เรื่องแรกต้องเริ่มเลย ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ขับถ่ายไม่ตรงเวลา ต้องทำให้ร่างกายคุ้นเคยกับการขับถ่ายอยู่เสมอ ซึ่งเวลาที่ดีที่สุดคือ ตอนเช้า ตั้งแต่ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า หรือ หลังอาหารเช้า แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาที่คุณไม่สะดวก ก็หาเวลาที่เหมาะสม เพื่อขับถ่ายเป็นเวลา ของบางราย 10 โมงบ้าง 11 โมงบ้าง ควรที่จะให้เวลากับสิ่งนี้ อย่าเร่งรีบ เพราะการขับถ่ายนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก 

2. ฝึกดื่มน้ำ

น้ำ คือ สิ่งที่สำคัญต่อร่างกาย รวมทั้งระบบขับถ่ายเป็นอย่างมากเลยทีเดียว แน่นอนว่าให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ ในตอนเช้า หรือ หลังตื่นนอน ยิ่งเป็นน้ำอุ่น หรือ ปกติได้ยิ่งดี เพราะจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดนั้นทำงานได้ดีแต่เช้า อีกทั้งเป็นตัวช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้ดี ไล่ของเสียออกมาขับถ่ายได้สะดวกขึ้น แต่การดื่มน้ำ ควรดื่มให้ได้วันละ 8-10 แก้ว ตามมาตรฐานได้เลย 

3. ห้ามกลั้น หรือ อั้นอุจจาระเด็ดขาด

เรื่องนี้สำคัญ เมื่อรู้สึกปวดท้อง จะต้องหาห้องน้ำเข้าทันที เพราะเมื่ออั้นเอาไว้ ร่างกายจะส่งสัญญาณกระตุ้นผิดเวลา หรือ บางรายอาจจะไม่รู้สึกปวดท้องอีกเลยตลอดทั้งวัน นี่แหละคือผลเสียร้ายแรงเมื่ออั้น หรือ ผิดเวลาในการขับถ่าย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ การเบ่งอุจจาระ ควรให้ปวดท้องแล้วค่อยเบ่ง ไม่ควรเร่งรีบ เพราะจะทำให้ระบบในลำไส้ไม่เป็นปกติได้ อีกทั้งการเบ่งแรง เมื่ออุจจาระเป็นก้อน ก็ส่งผลให้เกิดเป็นโรคริดสีดวงทวารตามมาทีหลังด้วย 

4. วิถีคนอยากอึ ให้นวดลำไส้ 

นี่แหละคือพฤติกรรมที่ใช้ตอนเด็ก เพราะในเด็กจะให้นวดรอบสะดือ ส่วนผู้ใหญ่อย่างเราก็ให้นวดตรงท้องด้านล่างซ้ายเลยสะดือไป ให้นวดเบา ๆ ค่อย ๆ นวด ดันลงไปข้างล่าง แล้วทิ้งเอาไว้เราก็จะรู้สึกปวดท้องอุจจาระขึ้นมาเอง ถ้าไม่เชื่อลองไปฝึกทำกันดูกับวิธีนวดลำไส้ 

5. นั่งถ่ายให้ถูกวิธี 

การนั่งถ่าย เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะไม่ควรที่จะมองข้ามเด็ดขาด อันที่จริงแล้วท่านั่งที่เหมาะกับการขับถ่ายมากที่สุดคือ การนั่งยอง ๆ เพราะว่าจะมีแรงกดช่วยให้ขับถ่ายคล่อง แต่ในปัจจุบัน ห้องน้ำส่วนใหญ่เป็นชักโครก ทำให้แรงเบ่งอุจจาระจะน้อยกว่า ซึ่งมีวิธีการเบ่งแบบถูกวิธีก็คือ โค้งตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย วิธีนี้ถ้าขับถ่ายยากให้ใช้วิธีนวดลำไส้ตามไปด้วยจะดีมาก 

 

อย่าลืมว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีกากใยอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไร้กังวลเรื่องความเครียด  ซึ่งถ้าหากว่าทำได้ตามเป้าหมายเหล่านี้ชีวิตของคุณก็จะสุขภาพดี ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างยาวนาน แน่นอนเลยว่าคุณเองจะได้มีพลังลุยต่อสู้กับทุกวันในชีวิต 

 

เรื่องสุขภาพสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต เมื่อร่างกายป่วย หรือ ไม่แข็งแรง การใช้ชีวิตที่จะต้องเดินต่อในทุกวันก็จะไม่ราบรื่นได้ บางรายไปทำงาน บางรายต้องเรียน การมานั่งเจ็บป่วย หรือ ทรมานตัวเองไม่ค่อยคุ้มสักเท่าไหร่ ดังนั้นแล้วทุกคนคงจะได้ทราบ ได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า “โรคขี้เต็มท้อง” หรือ “ภาวะอุจจาระอัดแน่น” เป็นโรคที่ค่อนข้างน่ากลัวไม่แพ้กับ โรคอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะดูไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่ควรก็จริง แต่อนาคตอาจจะเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ ริดสีดวงทวาร รวมทั้ง อาการอื่น ๆ เช่น เวียนหัว แน่นท้อง หายใจลำบาก แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อการใช้ชีวิต และ การทำกิจกรรมประจำวันนั่นเอง 


อ้างอิง