เชื้อราที่เล็บ หรือที่เรียกว่า onychomycosis นับเป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่พบบ่อยทั้งในเล็บมือและเล็บเท้า ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลให้เล็บมีลักษณะเปลี่ยนไป แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ที่ติดเชื้อ เนื่องด้วยความเจ็บปวดและอาจมีกลิ่นที่เหม็นจนรบกวนคนรอบข้าง โดยเชื้อราเหล่านี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้เล็บที่มักมีการสะสมของความชื้นอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถแพร่กระจายจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง ผ่านการสัมผัส ทำให้โรค เล็บติดเชื้อรา นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเล็บ แต่ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจสูญเสียความมั่นใจไปอีกนาน ในบทความนี้จะมาอธิบายว่ามีลักษณะอาการอย่างไร พร้อมวิธีแก้ไขที่ถูกจุด
เล็บติดเชื้อรา มาจากสาเหตุอะไร?
สภาพแวดล้อมที่ร้อนและชื้น
ความร้อนอบอ้าวและอากาศเปียกชื้น เป็นสภาพที่เชื้อราเติบโตได้ดี ดังนั้น การสวมรองเท้าที่อับชื้นและไม่โปร่งสบายเป็นเวลานาน ก็สามารถสร้างสภาพที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ จากการศึกษาพบว่าบุคคลที่สวมรองเท้าปิดตลอดเวลามีโอกาสเกิดเชื้อราที่เล็บมากกว่าบุคคลที่สวมรองเท้าเปิดถึง 30%
แพร่กระจายจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง
เชื้อราสามารถแพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน เช่น กรรไกรตัดเล็บ ที่มีเชื้อราสะสมอยู่ หรือการใช้รองเท้าหรือถุงเท้าร่วมกัน นอกจากนี้ การใช้พื้นที่สาธารณะที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ หรือสระว่ายน้ำ ยังเป็นสถานที่ที่เชื้อราสามารถแพร่กระจายได้ง่ายอีกด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและวิถีชีวิต
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราที่เล็บ ได้แก่ การมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งพบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดเชื้อราที่เล็บสูงกว่าปกติถึง 2-3 เท่า เนื่องจากมีการไหลเวียนเลือดที่น้อยลงที่เท้าและระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลง นอกจากนี้ การได้รับบาดเจ็บที่เล็บ หรือการใช้ชีวิตในสภาพที่มีความชื้นสูง ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเชื้อราที่เล็บได้เช่นกัน
อาการของเชื้อราที่เล็บ
เล็บเปลี่ยนสี
เล็บที่ติดเชื้อรา มักจะมีการเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด เช่น เล็บเปลี่ยนเป็นสีขาว, สีเหลือง, หรือสีดำ ต่างจากเล็บสุขภาพดีที่มีสีเป็นส้มหรือชมพู โดยสีเหลืองเป็นสีที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีรายงานว่าประมาณ 60-80% ของผู้ที่มีเชื้อราที่เล็บจะพบอาการเล็บเปลี่ยนเป็นสีเหลือง การเปลี่ยนสีนี้เกิดจากการสะสมของเชื้อราใต้เล็บและบริเวณเล็บที่ติดเชื้อ ซึ่งอาจทำให้เล็บดูไม่สวยงามและอาจส่งผลต่อความมั่นใจ
เล็บแตกหรือหนาขึ้น
ชั้นเล็บที่เป็นโรค จะมีความหนาและแข็งขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งทำให้การตัดแต่งเล็บยากขึ้น จากการสำรวจพบว่าประมาณ 50% ของผู้ที่มีเชื้อราที่เล็บจะพบว่าเล็บของตนหนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การหนาขึ้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้การดูแลรักษายากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากเล็บที่แตกหักได้ง่ายอีกด้วย
รู้สึกเจ็บและมีกลิ่นเหม็น
ในบางครั้งเชื้อราที่เล็บทำให้คุณรู้สึกเจ็บเล็บเท้าได้ โดยเฉพาะเมื่อเล็บหนาและแตกจนทำให้กดทับเนื้อเยื่อรอบๆ ปลายนิ้ว นอกจากนี้ จากการวิจัยพบว่าประมาณ 25% ของผู้ที่มีเชื้อราที่เล็บจะรายงานว่ามีกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเล็บที่ติดเชื้อ กลิ่นนี้เกิดจากการสะสมของเชื้อราและเนื้อเยื่อที่ตายแล้วภายใต้เล็บ ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน
วินิจฉัยเชื้อราที่เล็บ
ตรวจสอบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การวินิจฉัยเชื้อราต้องได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความแม่นยำในการรักษา แพทย์จะทำการตรวจเล็บที่มีอาการผิดปกติ และอาจเก็บตัวอย่างเล็บไปทำการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อรา การทดสอบนี้อาจรวมถึงการเพาะเชื้อ หรือการใช้เทคนิคพิเศษเช่น KOH test ซึ่งมีความแม่นยำสูงถึง 85-90% ในการตรวจจับเชื้อราที่เล็บ การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและป้องกันโรคไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้
แยกโรคเชื้อราที่เล็บ ออกจากโรคผิวหนังอื่น ๆ
เชื้อราที่เล็บอาจมีลักษณะอาการคล้ายกับโรคผิวหนังอื่นๆ เช่น โรคสะเก็ดเงินที่เล็บ หรือเล็บที่เป็นโรคจากการอักเสบต่างๆ ดังนั้น แพทย์จำเป็นต้องทำการตรวจเชิงลึกเพื่อแยกแยะเล็บบอกโรคเหล่านี้ การแยกโรคนี้อาจทำได้โดยการตรวจดูลักษณะเล็บที่เปลี่ยนแปลง ประวัติการเกิดโรค และผลการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ การตรวจทางห้องปฏิบัติการสามารถช่วยยืนยันการติดเชื้อราด้วยการตรวจหา DNA ของเชื้อรา ซึ่งสามารถบ่งบอกได้ถึงชนิดของเชื้อราที่ก่อโรค
การรักษา
ใช้ยาต้านเชื้อราทั้งในรูปแบบยาทาและยากิน
การรักษาโดยใช้ยามีสองรูปแบบหลัก คือ ยาทาและยากิน โดยยาทาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ciclopirox และ amorolfine ซึ่งทาบนเล็บที่ติดเชื้อโดยตรง ช่วยลดการเจริญของเชื้อรา และจำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่องประมาณ 12 เดือนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สำหรับยากิน เช่น terbinafine หรือ itraconazole ผู้ป่วยจะต้องรับประทานต่อเนื่อง 6-12 สัปดาห์ การรักษาด้วยยากินมีประสิทธิภาพสูงกว่าแต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปัญหาที่ตับ และต้องตรวจเลือดเป็นประจำเพื่อติดตามค่าต่างๆ
ดูแลรักษาที่บ้าน
การดูแลรักษาเล็บที่บ้านเป็นส่วนสำคัญในการรักษาและป้องกันเชื้อรา ควรรักษาความสะอาดและให้เล็บแห้งเสมอ การทำความสะอาดเล็บด้วยสบู่และน้ำอุ่นทุกวัน และใช้ผ้าขนหนูสะอาดในการเช็ดเล็บให้แห้งจะช่วยลดความชื้นที่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เชื้อราเจริญเติบโต นอกจากนี้ การเลือกใส่รองเท้าที่โปร่งสบาย และหลีกเลี่ยงการใช้ถุงเท้าที่อับชื้นติดต่อกันนานๆ ก็เป็นวิธีการที่ดีเช่นกัน
ใช้วิธีทางเลือก
ในกรณีที่การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีอาการรุนแรงมาก การใช้วิธีรักษาทางเลือก เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์ อาจเป็นทางเลือกที่เห็นผลได้มากกว่า โดยการรักษาด้วยเลเซอร์สามารถทำลายเชื้อราโดยตรงที่เล็บและใต้เล็บได้ และมักจะต้องใช้เวลาหลายครั้งต่อเนื่องกัน นอกจากนี้ ในกรณีที่เล็บติดเชื้อรุนแรงจนต้องถอดเล็บออก เพื่อให้เล็บใหม่ที่ไม่ติดเชื้อสามารถงอกขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ การถอดเล็บนี้ต้องได้รับคำแนะนำและดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ป้องกันเชื้อราที่เล็บ
ข้อแนะนำในการดูแลอย่างเหมาะสม
การดูแลเล็บให้สะอาดและเรียบร้อย เป็นขั้นตอนแรกในการป้องกันเชื้อราที่เล็บ การเลือกใช้รองเท้าที่มีการระบายอากาศได้ดีจะช่วยลดความชื้นแลระบายอากาศภายใน ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เชื้อราชอบ การศึกษาพบว่าการเลือกใช้รองเท้าที่เหมาะสมสามารถลดโอกาสเกิดเชื้อราที่เล็บได้ถึง 50% นอกจากนี้ การตัดเล็บให้สั้นและสะอาดจะช่วยให้เล็บไม่สะสมสิ่งสกปรกและเชื้อโรค การตัดเล็บควรทำอย่างระมัดระวัง โดยใช้กรรไกรตัดเล็บหรือตัดเล็บที่ทำความสะอาดอย่างดีหลังการใช้งานทุกครั้ง
หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าในสถานที่สาธารณะ
การเดินเท้าเปล่าในสถานที่สาธารณะที่มีความชื้น เช่น ห้องอาบน้ำสาธารณะ, สระว่ายน้ำ, หรือสปา สามารถเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อราที่เล็บได้ เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้มักมีเชื้อราสะสมอยู่มาก การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการหลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าในพื้นที่เหล่านี้สามารถลดโอกาสในการติดเชื้อได้ถึง 70% ดังนั้นเราแนะนำให้การสวมรองเท้าแตะในขณะใช้สถานที่สาธารณะทุกครั้ง
ใช้ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อราในการดูแลเล็บ
การใช้ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อรา เช่น สเปรย์หรือแป้งต้านเชื้อรา สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตบนเล็บและบริเวณรอบเล็บ การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอหลังการอาบน้ำและในขณะที่เล็บยังชื้นสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดเชื้อราที่เล็บได้ ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อราเหล่านี้มีความปลอดภัยสูงและสามารถใช้ได้บ่อยครั้งตามความจำเป็น
การรักษาเชื้อราที่เล็บให้หายขาดและการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการดูแลสุขภาพเล็บ และช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี เชื้อราที่เล็บอาจไม่ใช่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่สุด แต่ก็อาจทำลายความมั่นใจได้ เนื่องจากกลิ่นและรูปลักษณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งการปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสมจึง เป็นขั้นตอนที่ควรทำโดยเร็วที่สุดเมื่อพบว่ามีอาการผิดปกติที่เล็บ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะทำให้เชื้อราลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต ทั้งนี้การรักษาและการป้องกันที่ดีจะช่วยให้คุณกลับมามีเล็บที่สุขภาพดี พร้อมทั้งยังเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่
คำถามที่พบบ่อย
1. เชื้อราที่เล็บสามารถแพร่ระบาดไปยังคนอื่นได้หรือไม่?
เชื้อราที่เล็บสามารถแพร่ระบาดได้ ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับพื้นที่ที่ติดเชื้อหรือการใช้ของใช้ร่วมกัน เช่น กรรไกรตัดเล็บ หรือผ้าเช็ดตัว เพื่อป้องกันการติดเชื้อราที่เล็บไม่ให้แพร่ระบาด ควรรักษาความสะอาดส่วนตัวอย่างดีและหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น
2. อะไรคือสาเหตุหลักของการเกิดเชื้อราที่เล็บ?
สาเหตุหลักของการเกิดเชื้อรา เกิดจากเชื้อราประเภท Dermatophytes ที่เจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ชื้นและอบอุ่น เช่น ภายในรองเท้าที่ปิดสนิท การเดินเท้าเปล่าในสถานที่ชุ่มน้ำหรือมีความชื้นสูงก็สามารถเป็นสาเหตุได้เช่นกัน
3. การรักษาเชื้อราที่เล็บใช้เวลานานแค่ไหน?
ระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อและชนิดของการรักษาที่ใช้ การรักษาด้วยยาทาอาจใช้เวลานานถึง 12 เดือน ส่วนการรักษาด้วยยากินอาจใช้เวลาระหว่าง 6-12 สัปดาห์ การรักษาด้วยเลเซอร์หรือการถอดเล็บอาจมีผลเร็วกว่าแต่ต้องพิจารณาความเหมาะสม
4. มีวิธีใดในการป้องกันการเกิดเชื้อราที่เล็บบ้าง?
การป้องกันสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดและความแห้งของเล็บอยู่เสมอ การเลือกใช้รองเท้าที่มีการระบายอากาศได้ดีและไม่คับเกินไป และการตัดเล็บให้สั้นเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยง นอกจากนี้ การใช้ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อราเช่น สเปรย์หรือแป้งต้านเชื้อราบนเล็บและรองเท้าก็เป็นวิธีที่ช่วยได้ดีเช่นกัน
อ้างอิง
- Poonam Sachdev, MD, Fungal Nail Infections, WebMD, May 10, 2023, https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/fungal-nail-infections.
- April Kahn, Fungal Nail Infection, Healthline, May 8, 2023, https://www.healthline.com/health/fungal-nail-infection.
- Nail fungus, Maya Clinic, August 23, 2022, https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/nail-fungus/diagnosis-treatment/drc-20353300.