เมลาโทนินอันตรายไหม

เมลาโทนินอันตรายไหม ทำความรู้จักอาหารเสริมช่วยนอนหลับ

ใครหลาย ๆ คนที่มีภาวะนอนไม่หลับอันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความเครียด คนไหนนอนไม่หลับจึงเริ่มหาวิธีเพื่อให้ตนเองสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น บางคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่าเมลาโทนินมาบ้างแล้ว ซึ่งก็จะมาพูดถึงในบทความให้ทุกคนได้รู้ว่า เมลาโทนินอันตรายไหม เหมือนสมุนไพรช่วยนอนหลับหรือไม่ พร้อมประโยชน์และข้อควรรู้ของการใช้เมลาโทนิน


เมลาโทนินอันตรายไหม แล้วเมลาโทนินคืออะไร?

เมลาโทนินอันตรายไหม

เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ถูกสร้างโดยร่างกายของมนุษย์ ช่วงที่พระอาทิตย์ตกดิน สมองจะหลั่งสารนี้ออกมา ฮอร์โมนเมลาโทนินมีการหลั่งมากสุดเมื่อถึงเวลากลางคืน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกง่วงนอน ร่างกายมีกลไกการทำงานในรูปแบบนี้เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าได้เวลาต้องนอนหลับแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดสำหรับคนที่สงสัยว่าเมลาโทนิน อันตรายไหม

เนื่องจากว่าเมลาโทนินที่ผลิตจากร่างกายนั้นไม่นับรวมว่าเป็นอันตรายแต่อย่างใด เพราะเป็นสารจากธรรมชาติอยู่แล้ว แต่หากเป็นสารที่ถูกผลิตทางการแพทย์ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ สารเมลาโทนินถูกสังเคราะห์มาเพื่อช่วยรักษาสมดุลการนอน คนที่การนอนมีปัญหา เช่น นอนหลับยาก นอนไม่หลับ นอนดึก จะเหมาะกับการใช้สารนี้ รวมถึงการช่วยให้สามารถนอนหลับได้เมื่อมีปัญหา Jet lag, การนอนผิดเวลา รวมถึงคนที่ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินได้ไม่ดีเหมือนคนปกติ สารเมลาโทนินนี้สามารถช่วยให้รู้สึกง่วงนอน แต่แก้ไขได้แค่เฉพาะคนที่นอนไม่หลับจากสาเหตุทางด้านร่างกาย ไม่ใช่มาจากสภาวะทางจิตใจ

เมลาโทนินเป็นสารช่วยนอนหลับที่มีรูปแบบการใช้งานอยู่ทั้งหมด 2 รูปแบบ แต่ละแบบก็มีความแรงของการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณการใช้ก็ไม่เหมือนกันด้วย ไม่ว่าจะแบบไหนล้วนสามารถช่วยในเรื่องของการนอนหลับทั้งนั้น สารเมลาโทนินที่นำมาใช้ทั้งสองแบบนั้น มีดังนี้

  • แบบปลดปล่อยทันที เป็นการออกฤทธิ์ทันทีที่ใช้เมลาโทนิน มีให้กินแบบยาเม็ด หรืออาจจะอยู่ในรูปลักษณ์อื่น ตัวอย่างเช่น กัมมี่ ความแรงของสารจะอยู่ที่ 3 มิลลิกรัม, 5 มิลลิกรัม, 10 มิลลิกรัม รูปแบบของสารนี้ในประเทศไทยจะไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นยา
  • แบบออกฤทธิ์ช้า เป็นการออกฤทธิ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเลียนแบบให้เหมือนกับสารเมลาโทนินที่หลั่งจากธรรมชาติ มีความแรงอยู่ที่ 2 มิลลิกรัม รูปแบบนี้ขึ้นทะเบียนเป็นยาที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปี ขนาด 2 มิลลิกรัมนี้จะนำมากินก่อนนอน 1 ชั่วโมงโดยประมาณ ใช้ติดต่อได้มากสุด 13 สัปดาห์ เหมาะกับคนที่นอนไม่หลับแล้วตื่นกลางดึกเป็นประจำ

เมลาโทนิน มีประโยชน์อะไรบ้าง

เมลาโทนินอันตรายไหม

เมลาโทนินเป็นสารควบคุมการนอนหลับซึ่งส่วนใหญ่เอามาใช้ประยุกต์เพื่อรักษาความผิดปกติที่เกี่ยวกับการนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยผู้สูงอายุที่มีอาการนอนไม่หลับ สำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เมลาโทนินนั้น สามารถกล่าวได้ดังต่อไปนี้

  • ช่วยรักษาคนที่มีอาการนอนผิดเวลา ซึ่งโรคนี้จะนอนก่อนตีสองไม่ได้ หรือก็คือ ความเคยชินในการนอนหลังตีสองนั่นเอง
  • ช่วยให้คนทำงานกะดึกสามารถนอนหลับง่ายมากกว่าเดิม
  • รักษาคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ
  • ช่วยคนที่มีอาการเจ็ทแลคบรรเทาความง่วงได้
  • รักษาความไม่ปกติของระบบในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ

เมลาโทนินอันตรายไหม

เมลาโทนินอันตรายไหม

สารเมลาโทนินที่อยู่ในรูปแบบของยาและอาหารเสริมนั้น มีผลข้างเคียงเมื่อรับประทานเข้าไป จะมากหรือน้อยก็อยู่ที่ปริมาณการกินและฤทธิ์ยาแต่ละประเภท โดยสามารถกล่าวถึงอันตรายที่มาจากผลข้างเคียงของฤทธิ์ยาได้ดังต่อไปนี้

1. มีผลกับฮอร์โมนเมลาโทนินที่อยู่ภายในร่างกาย

หมอบางคนกลัวว่าหากกินเมลาโทนินเข้าไปอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของฮอร์โมนเมลาโทนินลดลง จากการศึกษาในระยะเวลาสั้น ๆ พบว่าอาหารเสริมเมลาโทนินไม่มีผลต่อฮอร์โมนเมลาโทนิน

2. ผลข้างเคียงของการกินเมลาโทนิน

จากงานวิจัยค้นพบว่า หลังจากกินเมลาโทนินเข้าไปจะมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย ได้แก่

  • รู้สึกเวียนหัว
  • มีอาการปวดหัว
  • ง่วงนอนอยู่บ่อย ๆ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน
  • เกิดอาการคลื่นไส้

นอกเหนือจากที่กล่าวมาก็ยังมีอาการที่พบไม่บ่อยแต่คาดว่าเป็นผลข้างเคียงของการกินเมลาโทนิน ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง เวียนหัวหรือสับสน หงุดหงิดง่าย มีความรู้สึกกังวล ซึมเศร้า รวมถึงอาการความดันโลหิตที่ต่ำกว่าปกติ

3. ง่วงตอนกลางวัน

เมลาโทนินเป็นอาหารเสริมที่ช่วยให้นอนหลับ ควรกินตอนเข้านอน เพราะหากกินตอนกลางวันอาจทำให้ง่วงได้ ฉะนั้น หลังจากกินไป 5 ชั่วโมงไม่ควรใช้เครื่องจักรหรือขับรถ จากการศึกษาพบว่า การฉีดหรือกินเมลาโทนินตอนกลางวันจะไม่มีผลต่อการรักษาสมาธิ อีกทั้งได้มีการวิจัยถึงกลุ่มตัวอย่างคนสุขภาพดีที่ถูกฉีดเมลาโทนินปริมาณ 10 หรือ 100 มิลลิกรัม รวมถึงการกินเมลาโทนินไป 5 มิลลิกรัม ก็ไม่มีผลกับเวลาการเกิดปฏิกิริยา ความเข้มข้น ประสิทธิภาพการขี่รถ หรือความสนใจ เมื่อเปรียบกับกลุ่มที่ได้ยา

4. ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่ลดลง

เมื่ออุณหภูมิในร่างกายลดลงจากผลข้างเคียงของการกินเมลาโทนิน อาจเกิดปัญหาที่ร่างกายไม่สามารถรักษาความอบอุ่นได้อย่างเต็มที่

เมลาโทนินไม่ว่าจะในรูปแบบอาหารเสริมหรือยา ย่อมไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน เพราะมีข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่กินสารนี้ไม่ได้เลย นั่นก็คือ

  • ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หากกินอาหารเสริมนี้มีโอกาสที่จะไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะฉีดหรือกินช่วงตั้งครรภ์หรือผู้หญิงให้นมลูก เพราะไม่มีหลักฐานพอที่ยืนยันได้ว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วลูกปลอดภัย
  • ใช้เมลาโทนินตั้งแต่เด็ก ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เด็กไม่ปลอดภัย เมื่อกินจำนวนหลายครั้งในเวลาสั้น ๆ อาจมีผลกับฮอร์โมนของร่างกาย ทำให้รบกวนการพัฒนาทางด้านร่างกายเพื่อเข้าสู่วัยรุ่น

ข้อควรรู้ก่อนทานเมลาโทนิน

เมลาโทนินอันตรายไหม

ในส่วนของเรื่องที่ควรจะรู้ก่อนตัดสินใจทานเมลาโทนินนั้น มีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับใครก็ตามที่คิดจะกินยานอนหลับ เมลาโทนินนั้นปกติเป็นสารจากธรรมชาติที่ถูกผลิตมาจากสมอง แต่เมื่อมีปัญหาการนอนไม่หลับและร่างกายไม่อาจผลิตได้อย่างเพียงพอ จึงทำให้ต้องมีการสังเคราะห์เมลาโทนินขึ้นมา สำหรับข้อมูลที่ควรรู้ก่อนกินสารนี้เข้าไปนั้น สามารถกล่าวได้ดังนี้

  • เมลาโทนินช่วยอาการนอนไม่หลับในหลาย ๆ กลุ่ม นอกจากนี้ยังรักษาเกี่ยวกับนาฬิกาชีวิตที่ไม่ปกติ
  • เมลาโทนินมีสองแบบที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมา ได้แก่ เมลาโทนินที่เป็นอาหารเสริมซึ่งไม่ได้จดทะเบียนเป็นยา กินได้ไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อครั้ง กับเมลาโทนินที่จดทะเบียนเป็นยา แต่ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  • เมลาโทนินสามารถปรับเวลานอน แนะนำให้ทานก่อนนอน 2 – 3 ชั่วโมง ไม่ทำงานหรือขับรถหลังจากที่กินไปแล้ว
  • ใครมีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะซึมเศร้า โรคความดันโลหิต โรคลมชัก รวมถึงคนที่มีความผิดปกติด้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนตัดสินใจใช้เมลาโทนิน
  • การใช้เมลาโทนินมีอาการข้างเขียงคือ มวนท้อง ปวดศีรษะ มีความวิตกกังวล อ่อนเพลีย หรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ

จากบทความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการให้ข้อมูลว่า เมลาโทนิน อันตรายไหม ซึ่งสารนี้มีทั้งประโยชน์และโทษ อยู่ที่ว่าจะใช้งานอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แล้วหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงได้มากสุด เพราะสารทุกชนิดที่สังเคราะห์มาล้วนไม่เกิดผลดีกับร่างกาย 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผลเสียที่ตามมาด้วย หากไม่ศึกษาดี ๆ ก่อนนำมาทาน คุณอาจได้รับอันตรายได้


อ้างอิง