คุณเคยสังเกตไหมว่าวันนี้เล็บของคุณมีลักษณะเป็นอย่างไร? บางคนอาจจะมีสีชมพูดูเลือดฝาด หรือบางคนมีรอบขีดขาว หรืออาจน่าตกใจไปยิ่งกว่านั้นที่บางคนเล็บก็เป็นสีน้ำตาลดูไม่เหมือนใคร นอกจากสีแล้ว ลองให้คุณมองให้ละเอียดอีกสักหน่อย ดูว่ามีสีของเล็บที่เปลี่ยนไป, รอยบุ๋ม, เป็นรูพรุน, หรือเล็บบาง? สภาพลักษณะเหล่านี้กำลังสะท้อนถึงสุขภาพภายในของคุณอยู่ นอกจากนี้ เล็บยังบ่งบอกถึงภาวะสุขภาพต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในร่างกาย เช่น การขาดวิตามิน, ภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ, หรือแม้แต่โรคตับ การเรียนรู้ที่จะอ่านสัญญาณ เล็บบอกโรค เหล่านี้ ไม่เพียงช่วยให้เราตระหนักถึงสุขภาพของตนเองได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้สามารถดำเนินการรักษาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ เพื่อปรับปรุงสุขภาพในระยะยาวได้อีกด้วย
เล็บบอกโรค สัญญาณแรก เล็บมีลักษณะบิ่นหรือแตก (Brittle Nails)
สาเหตุ
เล็บบิ่นหรือแตก อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่สองสาเหตุหลักที่พบบ่อย คือ การสัมผัสกับน้ำบ่อยครั้งและใช้สารเคมีรุนแรงที่มีผลต่อเล็บโดยตรง เมื่อเล็บถูกแช่ในน้ำเป็นเวลานานหรือบ่อยครั้ง โครงสร้างโปรตีนเคราตินซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเล็บจะถูกทำลาย ทำให้เล็บเปราะลง และเกิดการบิ่นหรือแตกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ไม่ว่าจะ ยาทาเล็บ หรือน้ำยาล้างเล็บก็สามารถทำให้เล็บแห้งและเปราะบางได้เช่นกัน
การเชื่อมโยงกับภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ และขาดธาตุเหล็ก
นอกเหนือจากสาเหตุภายนอกที่ได้กล่าวมา ลักษณะเล็บเช่นนี้ ยังสามารถบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพภายในได้ เช่น ร่างกายมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ที่ทำงานต่ำ (hypothyroidism) ที่ทำให้เล็บเปราะบางลง นอกจากนี้ การขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการสำหรับการผลิตเซลล์เลือดแดง ก็สามารถส่งผลให้เล็บบางและบิ่นง่ายเช่นกัน จากข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่าประชากรประมาณ 5-10% ที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำจะมีอาการเล็บเปราะเป็นสัญญาณร่วม
สัญญาณที่ 2: เล็บมีรอยขวาง (Horizontal Ridges)
เกิดจากโรคร้ายแรงและการรักษาด้วยเคมีบำบัด
หรือที่รู้จักในชื่อ Beau’s lines คือรอยนูนหรือร่องขวางที่เกิดขึ้นตามขวางเล็บ ซึ่งอาจปรากฏได้จากการหยุดชะงักหรือเล็บงอกช้าลงต่างจากเล็บสุขภาพดีทั่วไป สาเหตุหนึ่งที่พบบ่อย คือ การมีโรคร้ายแรงหรือการรับการรักษาด้วยเคมีบำบัด การศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดมีโอกาสสูงถึง 60% ที่จะพัฒนา Beau’s lines เนื่องจากเคมีบำบัดมีผลต่อเซลล์ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงเซลล์ที่เล็บของคุณด้วย
รอยขวางจากการติดเชื้อโควิด-19
นอกจากนี้ การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยขวางบนเล็บ เนื่องจากการติดเชื้ออาจทำให้ร่างกายเผชิญกับความเครียดและกระทบต่อระบบการเจริญเติบโตของเล็บ มีรายงานว่าผู้ป่วยโควิด-19 ประมาณ 20% มีอาการผิดปกติที่เล็บหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงการเกิด Beau’s lines การสังเกตการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจช่วยให้แพทย์สามารถประเมินผลกระทบจากโรคได้ดียิ่งขึ้น
สัญญาณที่ 3: เล็บเป็นรูพรุนหรือมีสีเปลี่ยนไป (Pitted, Discolored Nails)
เชื่อมโยงกับโรคสะเก็ดเงินที่เล็บ
เล็บที่มีลักษณะเป็นรูพรุน หรือมีสีเปลี่ยนแปลงvอาจเป็นสัญญาณของโรคสะเก็ดเงินที่เล็บ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาวะอัตโนมัติที่ส่งผลต่อผิวหนังและเล็บ จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 50 ของผู้ที่ป่วยด้วยโรคสะเก็ดเงินจะมีเล็บที่เป็นรูพรุน ส่วนการเปลี่ยนสีของเล็บสามารถเกิดจากการที่เล็บแสดงอาการของการอักเสบใต้เล็บ ซึ่งอาจทำให้เล็บมีสีเหลือง, น้ำตาล, หรือแดง อาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกและเจ็บปวดในการใช้งานมืออีกด้วย
อาการที่อาจปรากฏร่วมกับโรคสะเก็ดเงิน
นอกจากเล็บที่มีรอยเป็นรูพรุนและมีสีเปลี่ยนแปลงแล้ว โรคสะเก็ดเงินที่เล็บยังสามารถมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น ความหนาแน่นของเล็บเพิ่มขึ้น, การหลุดลอกของเล็บจากเตียงเล็บ, และอาการอักเสบรอบๆ ขอบเล็บ ประมาณร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคสะเก็ดเงินที่เล็บมักจะมีอาการปวดหรือไม่สบายที่ข้อต่อ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาวะที่เกี่ยวข้องกับโรคสะเก็ดเงินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
สัญญาณที่ 4: เล็บมีสีขาว, เหลือง หรือน้ำตาล (White, Yellow, or Brown Nails)
สาเหตุของเล็บที่มีสีเปลี่ยน
การเปลี่ยนสีของเล็บสามารถบ่งบอกถึงสภาวะทางการแพทย์หลายอย่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล็บที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ซึ่งมักเกิดจากเล็บติดเชื้อรา การศึกษาพบว่าร้อยละ 50 ของกรณีเล็บเหลืองเป็นผลมาจากการติดเชื้อรา นอกจากนี้ เล็บที่มีสีขาวอาจเกี่ยวข้องกับสภาวะทางการแพทย์ เช่น ภาวะเลือดลมจาง ส่วนเล็บที่มีสีน้ำตาลอาจเกิดจากการสะสมของเมลานินหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตับ
คำแนะนำในการปรึกษาแพทย์
เมื่อสังเกตเห็นเล็บมีสีที่ไม่ปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและหาการรักษาที่เหมาะสม โดยการรักษาจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุของการเปลี่ยนสี ตัวอย่างเช่น การติดเชื้อราอาจต้องใช้ยาต้านรา ในขณะที่สภาวะทางการแพทย์อื่นๆ อาจต้องการการรักษาที่ซับซ้อนกว่า การวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
สัญญาณที่ 5: เล็บแตกหรือหลุดจากเนื้อเล็บ (Nail Separation)
อาการเล็บหลุด
เล็บหลุดจากเนื้อเล็บ หรือที่เรียกว่า “onycholysis” เป็นภาวะที่เล็บแยกตัวออกจากเตียงเล็บ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบางส่วนหรือทั้งหมดของเล็บ สาเหตุของภาวะนี้อาจมีหลายประการ รวมถึงการบาดเจ็บที่เล็บ, การติดเชื้อรา, การแพ้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลเล็บ, หรือโรคผิวหนังเฉพาะที่เช่น โรคสะเก็ดเงิน นอกจากนี้ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคระบบต่างๆ เช่น โรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติ จากการศึกษาพบว่าประมาณ 18% ของผู้ที่มีภาวะเล็บหลุดมีปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติม
การแนะนำให้ไปพบแพทย์
หากคุณสังเกตเห็นว่าเล็บของคุณเริ่มแยกตัวออกจาก Nail bed หรือมีอาการแตกหรือหลุดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบสาเหตุของปัญหาดังกล่าว การไปพบแพทย์จะช่วยให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ซึ่งอาจจะต้องใช้การตรวจร่างกายอย่างละเอียด การทดสอบสารเคมี, หรือการตรวจเลือดเพื่อหาค่าไทรอยด์และสุขภาพโดยรวม แพทย์อาจแนะนำการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาต้านรา, การปรับปรุงการดูแลเล็บ, หรือการรักษาสภาพทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
การดูแลเล็บให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนถึงสุขภาพโดยรวมของเราด้วย เริ่มต้นจากการรักษาความสะอาดของเล็บอย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรงกับเล็บ ซึ่งอาจทำให้เล็บเสียหายหรือเกิดการแพ้ได้ นอกจากนี้ การสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงของเล็บตลอดเวลาก็มีความสำคัญเช่นกัน หากพบว่าเล็บมีความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นรูปทรง, สี, หรือพื้นผิวที่เปลี่ยนไป ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าไม่มีปัญหาสุขภาพใดซ่อนอยู่เบื้องหลังสัญญาณเหล่านั้นได้
คำถามที่พบบ่อย
1. ทำไมเล็บถึงมีสีเหลือง?
เล็บเหลืองอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อราที่เล็บ, การใช้ยาทาเล็บสีเข้มบ่อยๆ หรือการสูบบุหรี่ ในบางกรณี อาจเป็นสัญญาณของโรคตับหรือโรคไทรอยด์ หากเล็บเหลืองและไม่หายไปเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่เหมาะสม
2. เล็บบอกโรคอะไรได้บ้าง?
บ่งบอกถึงสุขภาพโดยรวม เช่น เล็บซีดอาจบ่งบอกถึงภาวะเลือดจาง, เล็บมีลักษณะเป็นช้อนอาจเกี่ยวข้องกับโรคโลหิตจางหรือปัญหาตับ หากมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบ
3. ควรดูแลเล็บอย่างไรเมื่อมีอาการแตกหรือหลุด?
หากเล็บแตกหรือหลุด ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือทำงานหนักหรือเกี่ยวข้องกับสารเคมี เช่น การล้างจาน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ควรใช้ครีมบำรุงเล็บและน้ำมันบำรุงเล็บเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องเล็บ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์
4. มีวิธีใดบ้างที่ช่วยให้เล็บแข็งแรง?
เพื่อให้เล็บแข็งแรง ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอ เช่น ไบโอติน, วิตามิน C, แคลเซียม, และเหล็ก นอกจากนี้ ควรดูแลรักษาความสะอาดของเล็บ ตัดเล็บอย่างสม่ำเสมอ และใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อให้เล็บและคิวติเคิลชุ่มชื้น การใช้น้ำมันบำรุงเล็บยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเล็บได้ดีอีกด้วย
อ้างอิง
- Can Your Nails Show Signs of an Illness?, Scripps, May 22, 2023, https://www.scripps.org/news_items/6820-can-your-nails-show-signs-of-an-illness
- Abigail Rasminsky, From Ridges to Peeling: What These 8 Fingernail Signs Say About Your Health, Healthline, July 14, 2023, https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/healthy-nails.
- Trisha Pasricha, MD, What can my nails tell me about my health?, Washingtonpost, August 21, 2023, https://www.washingtonpost.com/wellness/2023/08/21/fingernails-ridged-yellow-white-health/.