Bariatric surgery คืออะไร? ลดน้ำหนัก ด้วยการผ่าตัดกระเพาะอาหาร

Bariatric surgery คืออะไร? ลดน้ำหนัก ด้วยการผ่าตัดกระเพาะอาหาร

มีหลายคนไม่น้อยที่ต้องการลดความอ้วน และต้องการลดน้ำที่เห็นผลได้ทันใจ จึงต้องสรรหาสารพันวิธีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด ในทางกลับกัน เมื่อคุณอยู่ในสภาวะโรคอ้วนและมีโรคที่ต้องคอยควบคุมตลอดเวลา การที่จะหาวิธีการทั่วไปที่ช่วยให้คุณลดดัชนีน้ำหนักนี้ลงให้อยู่ในสภาวะปกติอาจเป็นอุปสรรคอยู่มากมาย ด้วยข้อจำกัดนี้ ทำให้การผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นอีกทางเลือกให้ผู้ป่วยโรคอ้วนกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง ในบทความนี้ จะมาอธิบายว่า Bariatric surgery คืออะไร? ใครเหมาะกับวิธีการนี้ และมีข้อมูลรายละเอียดแต่ละประเภทอย่างไร พร้อมทั้งข้อควรพิจารณาก่อน และหลังการตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดฉบับสมบูรณ์ที่สุด


Bariatric surgery คืออะไร? และทำไมต้องผ่าตัดลดน้ำหนัก

Bariatric surgery คืออะไร? และทำไมต้องผ่าตัดลดน้ำหนัก

เป้าหมายของ Bariatric surgery

หรือเรียกในภาษาไทยเต็ม ๆ ว่า การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เป้าหมายของการผ่าตัดประเภทนี้ จะเป็นทางเลือกมวลน้ำหนักตัวที่ไวกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 40 หรือมีค่า BMI ระหว่าง 35 ถึง 39.9 และมีโรคร่วมที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น เบาหวานประเภท 2, ความดันโลหิตสูง, หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ การผ่าตัดประเภทนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันภาวะสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายได้อีกด้วย ทำให้ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีอายุยืนยาวขึ้น

ทำไมต้องรับการผ่าตัด

โรคอ้วน เป็นบ่อเกิดที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพด้วยโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, และโรคหัวใจเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปัญหาอื่นๆ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ, ปัญหาการมีบุตรยาก, และประจำเดือนไม่ปกติ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อจิตใจ เช่น ความมั่นใจต่ำและความนับถือตนเองที่ลดลง รู้ทันโรคอ้วนได้โดยการเข้าใจกลไกในการควบคุมน้ำหนักของร่างกายที่ซับซ้อนซึ่งรวมถึงปัจจัยพันธุกรรม, ฮอร์โมน, และการเมแทบอลิซึม ทำให้การลดน้ำหนักยากมากขึ้น โดยในประเทศไทย อัตราการเกิดโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การผ่าตัดลดน้ำหนักเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ที่เผชิญกับโรคอ้วนมีโอกาสใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น


ประเภทของการผ่าตัด

ประเภทของการผ่าตัด

ผ่าตัดแบบบายพาส (Gastric Bypass)

หนึ่งในวิธีการผ่าตัดลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ไม่เพียงแต่ลดขนาดของกระเพาะอาหารให้เล็กลงจนเหลือเพียงถุงเล็ก ๆ คล้ายไข่ที่มีความจุประมาณ 1-2 ออนซ์เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนเส้นทางการดูดซึมของอาหารโดยการทำบายพาสเชื่อมต่อกระเพาะอาหารกับลำไส้เล็กที่ยาวประมาณ 180-200 ซม. ในรูปทรง Y เพื่อไม่ให้อาหารผ่านกระเพาะอาหารส่วนใหญ่และลำไส้เล็กส่วนต้น การผ่าตัดนี้ช่วยลดปริมาณอาหารที่รับเข้าไปและลดการดูดซึมสารอาหาร ทำให้ผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 60-70% ของน้ำหนักเกินภายในสองปีแรกหลังการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยต้องใส่ใจในเรื่องการขาดสารอาหารและวิตามินอย่างใกล้ชิดเนื่องจากการดูดซึมลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ การผ่าตัดจะทำโดยใช้กล้องส่องใน (Laparoscope) และเครื่องมือพิเศษเพื่อให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง

ผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy)

เป็นวิธีการลดขนาดกระเพาะอาหารโดยตัดส่วนที่มากถึง 75–80% ของกระเพาะอาหารออกจนเหลือความจุประมาณ 150 ซีซี และจะเย็บให้เหลือเป็นท่อยาวคล้ายแขนเสื้อ การผ่าตัดนี้ช่วยลดความสามารถในการรับประทานอาหารและยังลดการผลิตฮอร์โมนกรีลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นความอยากอาหาร ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ โดยโดยเฉลี่ยอาจลดได้ราว 50-60% ของน้ำหนักเกินภายในสองปีแรก การผ่าตัดนี้ทำโดยใช้กล้องส่องใน (Laparoscope) และเครื่องมือพิเศษเพื่อความแม่นยำและประสิทธิภาพสูง ผู้ป่วยจำเป็นต้องปฏิบัติตามแผนการกินอาหารที่ถูกต้องและตรวจติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร

การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Endoscopic sleeve gastroplasty: ESG)

นวัตกรรมการแพทย์แบบใหม่ ที่ใช้เครื่องมือส่องกล้องวิดีโอขนาดเล็กและมีความยืดหยุ่นสูง โดยการส่องกล้องจะเข้าไปในกระเพาะอาหารผ่านทางปากขณะที่ผู้ป่วยหลับ จากนั้นใช้เครื่องมือพิเศษในการเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลงเหลือเพียงขนาดคล้ายกล้วยหอม ซึ่งจะช่วยลดปริมาณกระเพาะอาหารได้ประมาณ 70-80% และสามารถทำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักได้ประมาณ 15-20% ของน้ำหนักตัวในหนึ่งปี วิธีนี้มีข้อดีคือไม่ต้องผ่าตัดเปิดแผลใหญ่ ฟื้นตัวเร็ว มีความเจ็บปวดน้อย และช่วยลดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์อาจไม่ถาวรเท่าการผ่าตัดลดน้ำหนักประเภทอื่น และอาจต้องการการทำซ้ำหากกระเพาะอาหารขยายกลับคืนมาในภายหลัง ดังนั้นวิธีนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง

ผ่าตัดแบบ BPD/DS

มีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า Biliopancreatic Diversion with Duodenal Switch (BPD/DS) เป็นหนึ่งในวิธีการผ่าตัดลดน้ำหนักที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงสุด วิธีการนี้รวมการตัดส่วนของกระเพาะอาหารเช่นเดียวกับ Sleeve Gastrectomy และการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการดูดซึมโดยการต่อส่วนต่างๆ ของลำไส้ให้เล็กลง เป็นผลให้ลดการดูดซึมและการบริโภคแคลอรี่น้อยลงเป็นอย่างมาก ผลลัพธ์คือการลดน้ำหนักได้มากถึง 70-80% ของน้ำหนักเกินในสองปีแรก แต่มีความเสี่ยงสูงในการขาดสารอาหารและต้องการการติดตามสุขภาพอย่างใกล้ชิดและการรับประทานวิตามินเสริมเป็นประจำ


ข้อพิจารณาก่อนการผ่าตัด

ข้อพิจารณาก่อนการผ่าตัด

ใครเหมาะกับวิธีนี้?

ผู้ป่วยที่จะเข้ารับการผ่าตัดลดน้ำหนักนั้นขึ้นอยู่กับดัชนีมวลกาย (BMI) และสภาพโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดจะพิจารณาให้กับผู้ที่มีดัชนีมวลกาย 40 หรือมากกว่า หรือผู้ที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 ถึง 39.9 ที่มีโรคร่วม เช่น เบาหวานประเภทที่ 2, ความดันโลหิตสูง, หรือโรคหัวใจ การมีดัชนีมวลกายที่สูงกว่า 30 แต่ต่ำกว่า 35 อาจพิจารณาในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน

ประเมินสุขภาพก่อนรับการผ่าตัด

ก่อนที่จะดำเนินการผ่าตัด ผู้ป่วยจำเป็นต้องผ่านการประเมินสุขภาพอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจทางการแพทย์หลายอย่าง เช่น การตรวจเลือด, การทำอัลตราซาวนด์, หรือการตรวจวัดฟังก์ชันของหัวใจ การตรวจเหล่านี้ช่วยให้แพทย์ประเมินสภาพโดยรวมและความพร้อมของผู้ป่วยสำหรับการผ่าตัด และค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้การผ่าตัดมีความซับซ้อนได้ การตรวจสุขภาพเหล่านี้มีความสำคัญมากในการกำหนดว่าผู้ป่วยพร้อมสำหรับการผ่าตัดหรือไม่ และช่วยให้ทีมแพทย์สามารถวางแผนการดูแลที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้อย่างดีที่สุด

เตรียมตัวก่อนการผ่าตัด ทดสอบความพร้อมผู้ป่วย

เริ่มด้วยการตรวจสุขภาพอย่างละเอียด ซึ่งประกอบด้วย การตรวจเลือดเพื่อวิเคราะห์หาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะโลหิตจาง และการตรวจสมรรถภาพของหัวใจผ่านการทดสอบวิ่งบนลู่ที่ควบคุม (Stress Test) รวมถึงการตรวจสอบการทำงานของตับและไต เพื่อความปลอดภัยในการให้ยาชนิดต่างๆ หลังการผ่าตัด การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอล ก็เป็นส่วนสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพื่อประเมินภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจที่อาจตามมา

การจำกัดอาหารและการใช้ยา

ก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร โดยทั่วไปแล้วจะได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารประเภทขัดขาว เช่น ข้าวขาวและขนมปังขัดสี ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณไขมันในร่างกายและเตรียมกระเพาะอาหารให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด การเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและผักสด จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและฟื้นตัวได้ดีหลังการผ่าตัด นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิดอาจจำเป็นต้องหยุดชั่วคราวก่อนการผ่าตัด โดยเฉพาะยาที่อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการหยุดยาเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงเลือดไหลไม่หยุด


ความเสี่ยงและข้อจำกัด

ความเสี่ยงและข้อจำกัด

ในระยะสั้น

  • เลือดออกมาก: ร้อยละ 1-4 ของผู้ป่วยหลังการผ่าตัด อาจพบกับอาการเลือดออกมาก ซึ่งต้องได้รับการดูแลเฉพาะและการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์เพื่อป้องกันอาการที่รุนแรง
  • การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด: การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้ที่บริเวณแผลผ่าตัด และอาจทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดซ้ำ
  • ปัญหาการหายใจหรืออวัยวะล้มเหลวชั่วคราว: มีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อการหายใจลำบาก หรือฟังก์ชันของอวัยวะบางอย่างอาจล้มเหลวชั่วคราว ซึ่งต้องได้รับการดูแลและการช่วยเหลือจากอุปกรณ์ทางการแพทย์
  • การตอบสนองต่อยาสลบ: บางคนอาจมีปฏิกิริยาต่อยาสลบที่ใช้ในระหว่างการผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือมีปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ต่อระบบการหายใจหรือหัวใจ
  • ภาวะแทรกซ้อน: การผ่าตัดที่มีการตัดหรือเย็บเนื้อเยื่ออาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกภายในหรือการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดซึ่งต้องการการดูแลเพิ่มเติม หรือการผ่าตัดซ้ำอีกครั้งเพื่อแก้ไข

ในระยะยาว

  • ลำไส้มีปัญหา: แผลเป็นหรือการติดเชื้อที่ลำไส้สามารถนำไปสู่อุปสรรคของลำไส้ ซึ่งผู้ป่วยประมาณ 3-5% อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไข
  • ภาวะเลือดตกค้าง: อาจเกิดขึ้นเมื่ออาหารถูกย่อยและดูดซึมเร็วเกินไปในลำไส้เล็ก ส่งผลให้เกิดอาการเช่น ท้องร่วงหรือความรู้สึกไม่สบายหลังรับประทานอาหารหวานหรือมื้อใหญ่
  • การขาดสารอาหาร: เนื่องจากการดูดซึมสารอาหารที่ลดลง ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม และต้องมีการตรวจติดตามระดับสารอาหารในร่างกายเป็นประจำเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารที่อาจเกิดขึ้น
  • ภาวะเหน็บชาและขาดวิตามินอื่นๆ: การเปลี่ยนแปลงในระบบการย่อยอาหารสามารถทำให้การดูดซึมของวิตามินบางชนิดและเหล็กลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเหน็บชา, อ่อนเพลีย, หรือภาวะขาดวิตามินอื่นๆ ที่ต้องการการรับประทานอาหารเสริมหรือการรักษาเพิ่มเติม
  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจ: การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วและการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในวิถีชีวิตอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต บางคนอาจพบกับปัญหาเช่น ภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลในช่วงปรับตัวหลังการผ่าตัดผลลัพธ์หลังการผ่าตัด

น้ำหนักที่ลดลงและสุขภาพโดยรวม

น้ำหนักที่ลดลงและสุขภาพโดยรวม

หลังจากการผ่าตัดลดน้ำหนัก จะต้องเวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 5 วัน แต่คนไข้ส่วนใหญ่สามารถลุกเดินได้เองภายใน 1-2 วัน โดยในช่วง 2 ปีแรกของการผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 60-70% ของน้ำหนัก นอกจากนี้ช่วยบรรเทาปัญหาโรคเรื้อรังหลายชนิดและสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น, ลดความดันโลหิต, สุขภาพหัวใจดีขึ้น ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความต้องการใช้ยาต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ

ติดตามและการดูแลตนเองระยะยาว

หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการตรวจติดตามระดับวิตามินและแร่ธาตุในร่างกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารที่อาจเกิดจากการดูดซึมที่ลดลง การตรวจสุขภาพประจำปีและการปรึกษากับนักโภชนาการเพื่อวางแผนการกินอาหารผู้ป่วยเบาหวาน อย่างเหมาะสมเป็นส่วนสำคัญในการรักษาน้ำหนักให้คงที่และป้องกันน้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ การได้รับความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาสำหรับผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลดน้ำหนัก ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวและรักษาผลลัพธ์ในระยะยาว


การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เป็นการรักษาที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้ป่วยอย่างมาก ช่วยให้สามารถลดมวลกายอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงและอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน เช่น เบาหวานประเภทที่ 2, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, และหลอดเลือดสมอง โดยการผ่าตัดชนิดนี้ไม่เพียงแต่ลดภาระทางกายภาพและสุขภาพเท่านั้น แต่ยังปรับปรุงคุณภาพชีวิตในหลายๆ ด้าน รวมถึงความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ความมั่นใจในตนเอง และสุขภาพจิต หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังประสบปัญหาโรคอ้วนและยากจะแก้ไขด้วยวิธีเดิม การเข้าใจถึงผลกระทบและประโยชน์ของ Bariatric surgery จึงเป็นสิ่งสำคัญหากคุณกำลังพิจารณาวิธีการรักษานี้ เพื่อให้สามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาอย่างมีสติและเข้าใจถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน


คำถามที่พบบ่อย

1. การผ่าตัดลดน้ำหนักเหมาะกับใครบ้าง?

เหมาะสำหรับผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 40 หรือผู้ที่มีดัชนีมวลกายระหว่าง 35-39.9 พร้อมกับปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือหากมีดัชนีมวลกายระหว่าง 30-34 และมีปัญหาสุขภาพที่รุนแรงเกี่ยวกับน้ำหนักตัว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่

2. มีประเภทของการผ่าตัดลดน้ำหนักอะไรบ้าง?

ประเภทการผ่าตัดลดน้ำหนักที่นิยมมีการผ่าตัดแบบกาสตริกบายพาส (Gastric Bypass), การผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy), และการผ่าตัดแบบ BPD/DS แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับสภาพและความต้องการของผู้ป่วย

3. หลังจากการผ่าตัด จะต้องดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?

ผู้ป่วยจำเป็นต้องปฏิบัติตามแผนการกินอาหารที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารเหลวและอาหารบดในช่วงแรก และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอาหารที่มีเนื้อสัมผัสมากขึ้น ผู้ป่วยต้องรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนและมีไฟเบอร์สูง เพื่อช่วยในการฟื้นตัวและรักษาระดับสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ ยังต้องมีการตรวจติดตามสุขภาพและระดับสารอาหารในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ

4. มีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงอะไรบ้างหลังการผ่าตัด?

การผ่าตัดมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น เลือดออก, ติดเชื้อ, และปัญหาการย่อยอาหาร เช่น ภาวะเลือดตกค้าง และการขาดวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น การเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัดและการติดตามผลหลังการผ่าตัดอย่างใกล้ชิดจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ และสนับสนุนให้ผู้ป่วยฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ


อ้างอิง

  1. Bariatric surgery, Mayo Clinic, October 18, 2023, https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/bariatric-surgery/about/pac-20394258.
  2. Bariatric Surgery, Cleveland Clinic, November 06. 20222, https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/bariatric-surgery.
  3. Guide to bariatric surgery, HealthDirect, February 2024, https://www.healthdirect.gov.au/guide-to-bariatric-surgery.